วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัล



          หากองค์กรของคุณต้องการสร้างสื่อ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ด้วยเทคโนโลยี ทีมีความง่าย และปรับเปลี่ยนข้อมูลสินค้าและบริการของคุณได้อย่างรวดเร็ว สื่อดิจิทัล เป็นอีกช่องทางของการสื่อสารการตลาดแบบดิจิตอลที่ช่วยลดต้นทุน การสร้างสื่อโฆษณา การกระตุ้นการจดจำของสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายผ่านช่องทาง LCD TV เนื่องจากสื่อประเภท ดิจิทัล มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูงขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นการยกระดับของการโฆษณาและการนำเสนองานอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงทำให้เกิดการรวบรวมเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ด้านซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ เข้ามาใช้ร่วมกับเครือข่าย วิทยุโทรทัศน์ เพื่อการสร้างหน้าของสื่อ และการแพร่กระจาย ได้อย่างกว้างขวางพร้อมทั้งสามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้มาก ดังนั้นเพื่อความสำเร็จในการดำเนินการด้านสื่อเหล่านี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกสรรบริษัทที่มีความสามารถ และมีความชำนาญในธุรกิจด้านนี้ พร้อมทั้งภาพลักษณ์ ข่าวสารในอนาคตขององค์กร พร้อมทั้งความสำเร็จ ในการดำเนินงาน


         ด้วยยุคปัจจุบันเป็นยุคของสารสนเทศ (Information Age) เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น โดยเฉพาะด้านธุรกิจ ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง จึงพยายามแสวงหากลยุทธ์ข้อได้เปรียบต่างๆ เข้ามาช่วย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เทคโนโลยีที่นิยมกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด คือเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต แม้ในเรื่องของการตลาดก็มีการนำเอาอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้ เรียกว่า การทำการตลาดแบบออนไลน์ (Online Marketing) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปฏิสัมพันธ์ทางการตลาด (interactive Marketing) หมายถึง การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ และได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว หรือในลักษณะแบบทันทีทันใด กล่าวโดยง่ายก็คือ การสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อทำการตลาดนั่นเองในการทำการตลาดแบบออนไลน์นั้น มีหลักเกณฑ์ที่นิยมใช้กันมากที่สุด ดังต่อไปนี้ คือ



1. โปรแกรมค้นหา และสารบบ (Search engines and Directories)
     การสืบค้นข้อมูลด้วยโปรแกรมการค้นหาเป็นเรื่องที่นิยมกันมาก เนื่องจากสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการจัดหมวดหมู่หรือสารบบเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ เช่น หมวดธุรกิจ คอมพิวเตอร์ สุขภาพ กีฬา สมุนไพร เป็นต้น ผู้ใช้ในปัจจุบันนิยมสืบค้นหาข้อมูลบนโปรแกรมการค้นหากันอย่างมาก โดยเฉพาะเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง www. google.com ซึ่งมีเว็บเพ็จที่เชื่อมโยงมากกว่า 3 พันล้าน ดังนั้น หากผู้ประกอบการธุรกิจ รู้จักเทคนิคนี้ โดยสามารถพิมพ์คำที่ค้นหาที่เกี่ยวกับสินค้าของเว็บไซต์ลงไปในเว็บไซต์ของโปรแกรมการค้นหา ย่อมทำให้ผู้ค้นหาสามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โปรแกรมค้นหาที่นิยม นอกเหนือจาก google.com แล้วก็ยังมีovertrure.com, inktomi, looksmart, findwhat, yahoo, altavista เป็นต้น




2.การทำการตลาดแบบแนวรุกกับดึงดูด (Push Versus Pull Marketing)
     การทำการตลาดลักษณะนี้ ได้แก่ การโฆษณาไปตาม E-Mail Address ของลูกค้า เพื่อขายสินค้า มีการลดแลกแจกแถมมากมาย มีคูปองส่วนลด ซึ่งเป็นการเข้าถึงลูกค้าได้เป็นการส่วนตัว การโฆษณาดึงดูดลูกค้า ผ่านทาง E-Mail และอินเตอร์เน็ตนี้ มีตัวอย่างมากมาย เช่น การโฆษณาของการทำงานที่บ้าน (Work at home) หรือการโฆษณาขายโทรศัพท์มือถือ แม้กระทั่งขายเครื่องคอมพิวเตอร์มือสอง เป็นต้น


3.สร้างหุ้นส่วนการเชื่อมโยง (Link Partnership Building)
     การเชื่อมโยงนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำธุรกิจ เนื่องจากในระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ปัจจุบัน มีสินค้าขายอยู่หลากหลายชนิด เช่น หากเราต้องการจะขายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) เราต้องเอาเว็บไซต์ของเราไปเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ OTOP ของรัฐบาล ซึ่งได้มี
นโยบายให้พัฒนาเว็บไซต์นี้ขึ้นโดยใช้ชื่อว่า www.ThaiTambon.com เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายสินค้าOTOP ประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างหุ้นส่วนการเชื่อมโยงคือ
(1). ทำให้ลูกค้าเข้าถึงเป้าหมายบนเว็บไซต์ของเรามากขึ้น
(2). ทำให้อัตราการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราสูงขึ้น
(3) ช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ


4.กลุ่มข่าว และสภา (Newsgroups and Forums)
     กลวิธีนี้นับเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมากเพื่อการติดต่อสื่อสารธุรกิจ เนื่องจากลูกค้าเขาจะมีสภาพแวดล้อมภายในของพวกเขาซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน เขาจะแนะนำพูดคุยสนทนาในเรื่องที่สภาหรือกลุ่มของพวกเขาสนใจเช่น กลุ่มคนที่ชื่นชอบหรือค้าขายเครื่องประดับ อัญมณีเขาจะมีชมรมของพวกเขาอย่างเว็บ www.pixiart.com ถ้าหากสินค้าของคุณเข้าไปอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะช่วยโฆษณาเว็บไซต์ได้อย่างดีทีเดียว


5.การตลาดแบบโปรแกรมตัวแทน (Affiliate Program)
     การตลาดลักษณะนี้ หมายถึงผู้ที่ต้องการหารายได้พิเศษสร้างเว็บไซต์ของตนขึ้นมา และสมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์ที่ให้สมัครเป็นตัวแทนได้ เช่น เว็บไซต์ของวอลมาร์ทwww.walmart.com สินค้าของวอลมาร์ทมีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์, เครื่องใช้ภายในบ้าน, เครื่องประดับ, ของเล่นเด็ก เป็นต้นและทำการขายสินค้าให้วอลมาร์ท โดยเอาแถบประกาศ (Banner) ของวอลมาร์ทไปติดไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง เมื่อมีลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ทางวอลมาร์ทจะให้ค่านายหน้าหรือตัวแทนขาย มีตั้งแต่ 5 % -12 % สุดแล้วแต่ข้อเสนอของเว็บไซต์นั้นๆ ธุรกิจลักษณะเช่นนี้ มีทำกันมากทั้ง amazon.com และ disney.com




6.การทำการตลาดแบบบอกต่อ (Viral Marketing)
     เป็นกลยุทธ์ในลักษณะให้กลุ่มของลูกค้า ช่วยทำการตลาดแทนเรา โดยพวกเขาจะบอกกต่อกับเพื่อนที่อยู่ในสายสัมพันธ์อันเดียวกัน วิธีนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์และการบริการของเราขยายวงกว้างออกไปมากขึ้นการตลาดในลักษณะนี้ก็คือเป็นการบอกต่อกันในลักษณะปากต่อปากนั่นเอง ซึ่งในระบบออนไลน์จะมีกลุ่มคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นร่วมกันอยู่เป็นจำนวนมาก หากมองในแง่ของธุรกิจแล้วการทำการตลาดแบบบอกต่อช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และการบริการได้ดียิ่ง


7.การโฆษณาแบบแถบประกาศ (Banner Advertising)
     การตลาดลักษณะนี้ นับเป็นวิธีเก่าแก่ที่สุดที่มีการใช้กันมานานบนระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ หากมองย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ.1994 การโฆษณาแบบแถบประกาศสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจมาก คือ (1) ช่วยสนับสนุนให้ยี่ห้อเป็นที่รู้จัก (2) ช่วยเสริมยี่ห้อให้คนจำได้ และ (3) กระตุ้นสิ่งใหม่ๆ หรือช่วยให้คนเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น (www.scottish-enterprise.com)ความก้าวหน้า ในการทำตลาดออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยสนับสนุนการตลาดเหล่านี้นับว่าเป็นกลยุทธ์ในต่างประเทศนิยมทำกันมาก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในธุรกิจลักษณะนี้ เพียงแต่ว่าต้องมีกฎหมายด้านอินเตอร์เน็ตและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ออกมารองรับการทำธุรกรรมเหล่านี้อย่างครอบคลุมทั่วถึง










ข้อดีของการทำตลาดแบบออนไลน์ (Online Marketing)


สำหรับผู้ประกอบการ (ผู้ขาย)
1. ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยลดต้นทุนในการลงโฆษณาสินค้าเมื่อเปรียบเทียบกับสื่อประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับ เนื่องจากมีราคาถูก และสามารถนำเสนอได้ตลอดทั้งวัน ช่วยลดต้นทุนในด้านการใช้บุคลากร
2. ประหยัดเวลา เพราะช่วยลดขั้นตอนการทำงาน เช่น ลดขั้นตอนการจัดทำเอกสารรายการสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้า ผู้ประกอบการสามารถส่งอีเมล์เพื่อนำเสนอสินค้าได้อย่างรวดเร็ว
3. ผลตอบรับรวดเร็ว ทั้งในส่วนนักการตลาดและผู้บริโภค เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากมายเกือบ 1,400 ล้านคน 225 ประเทศ 104 ภาษา
4. เป็นการเพิ่มความสามารถ ในการเก็บข้อมูลและการวัดผลที่แม่นยำ ง่ายต่อการตรวจสอบความคุ้มค่า สามารถตรวจสอบปริมาณการเข้าชมของลูกค้าได้
5. เป็นการสร้างความเป็นไปได้ ในการทำการตลาดแต่ละบุคคล สามารถนำเสนอขายสินค้าเมื่อผู้ซื้อสนใจในสินค้า
6. เพิ่มการสื่อสารระหว่างกันมากขึ้น สามารถขยายขอบเขตตลาดให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
7. สามารถทำการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ได้ตลอดเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง 365 วัน ไม่มีวันหยุดทำการ
8. การโฆษณาประชาสัมพันธ์สามารถทำได้อย่างกว้างขวาง สามารถเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ต่างๆได้ตามกลุ่มเป้าหมายตามที่เราตั้งเอาไว้




สำหรับลูกค้า
 1.ลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าและบริการ ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุดได้จากทั่วทุกมุมโลกในเวลาอันรวดเร็วทำให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
2.ผู้ซื้อประหยัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้า สามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าได้โดยง่าย รวดเร็ว และใกล้เคียงกับความเป็นจริง ในการตลาดแบบดั้งเดิมนั้น ผู้ซื้อจำเป็นจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ขายสินค้าหลายแห่งเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ซึ่งอาจทำได้ไม่ครบ แต่การเลือกซื้อผ่านเว็บไซต์จะช่วยทำให้ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อเปรียบเทียบสินค้าได้ครบถ้วนตามต้องการ
3.ผู้ซื้อประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการติดต่อสื่อสารกับผู้ขาย นอกจากนั้นการติดต่อสื่อสารยังสามารถทำได้ตลอดเวลา แม้ว่าผู้ขายสินค้าจะอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง




Thank  ::  http://r63.wikidot.com/073

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

Wall E หนังในดวงใจ ❤





วอลล์-อี ผลงานของผุ้กับกับ ไฟน์ดิ้ง นีโม่ เรื่องราวของหุ่นยนต์น้อยที่ต้องอยุ่บนโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย ในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยขยะและมลพิษ จนทำให้มนุษย์ต้องไปอาศัยอยู่ในอวกาศ โดยอาศัยอยุ่ร่วมกันบนสถานียานอวกาศที่มีขนาดใหญ่ กว่าร้อยปีที่ วอลล์-อี ต้องอยุ่โดดดี่ยวคนเดียวบนโลก กับแมลงสาบ




เพื่อนซี้ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เขาถุกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เก็บกวาดขยะบนโลก ที่เต็มไปด้วยมลพิษ ช่วงเวลานั้น วอลล์-อี ก็ได้ค้นพบเป้าหมายใหม่ในชีวิต ที่นอกเหนือจากการเก็บสะสม ของกระจุกกระจิก วอลล์-อี ได้เจอกับ อีฟ ที่มาทำภารกิจบนโลก คือการตามหาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าต้นไม้ 







วอลล์-อี ตกหลุมรักอีฟ ที่ได้เจอกันครั้งแรกแต่หลังภาระกิจเสร็จสิ้น อีฟก็ถูกส่งตัวกลับไปทันที วอลล์-อีจึงต้องละทิ้งโลกใบเดียวที่เขามี สู่ห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง เพื่อตามหาสิ่งที่เขาเรียกว่า รัก”  การเดินทางสู่ห้วงอวกาศของเขาและอีฟ 




 



ทำให้เกิดการผจญภัยเหนือจินตนาการ เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น โดยมีความลับของอนาคตโลกเป็นปริศนา มีความรักและมิตรถาพเป็นแรงผลักดัน นอกจาก วอลล์-อีแล้ว ยังมีผู้ร่วมเดินทางผจญภัยข้ามห้วงกาแลคซี่เหนือจินตนาการไปด้วยกันกับเขาก็คือเหล่าคาแรกเตอร์สุดฮา ไม่ว่าจะเป็นแมลงสาบที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา และเหล่าหุ่นยนต์หมดสภาพอีกนับสิบตัว








 




บทวิจารณ์
เป็นหนังเอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งที่ชอบมากที่สุด  เป็นหนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย อบอุ่น น่ารัก โดยเฉพาะตัวละคร เอาซะสมจริงเชียว ชอบมากๆ ความน่ารักใสซื่อ ของ วอลล์-อี ในความคิดเห็นส่วนตัวหรือว่าส่วนใหญ่ต่างก็บอกว่าหนังเรื่องนี้ ไม่มีที่ติเลยทีเดียว เรื่องกราฟฟิกก็สวยไม่มีที่ติ ความจริงก็มีนะ ก็มุขฝืดๆนั่นแหละ แต่เพราะหนังทำออกมาน่ารัก ก็เลยไม่อยากให้มีที่ติไง เป็นจินตนาการที่ค่อนค่างจะสมจริงทีเดียว เรื่องการสื่อสารของตัวละคร ขอบอกว่าเยี่มมากจริงๆ เพราะว่าตัวละครไม่มีบทพูด แต่ผู้สร้างก้ทำให้เรารับรุ้ความรู้สึกอารมณ์ของตัวละครได้เป็นอย่างดี  สรุปว่าเรื่องนี้ ให้ ร้อยดาวไปเลย .. ;)

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

Museum of siam ..




มิวเซียมสยาม
Museum of Siam
       ถ้า เอ่ยถึงแหล่งเรียนรู้แนวใหม่ ที่ให้ความรู้ และมุมมองซึ่งคุณไม่เคยรู้มาก่อน ที่ที่เปิดตำนานสุวรรณภูมิสู่ยุคทองแห่งสยามประเทศ ก่อนจะเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน และสนุกกับการค้นพบปริศนาหลายพันปีด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีลูกเล่น เข้าใจง่าย
      
       คงจะมองหาได้ที่เดียว คือ “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งแรกที่เน้นการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในการเข้าชม ตั้งอยู่บริเวณท่าเตียน ข้างวัดโพธิ์ ถนนสนามไชย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่บนเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในอันเป็นเมืองมรดกที่มี ชีวิตของไทย
      
       เมื่อได้ผ่านประตูลูกกรงขนาดใหญ่เข้ามาบริเวณด้านหน้าของมิวเซียมสยามคุณจะ ได้พบกับตัวตึกของพิพิธภัณฑ์ที่เคยใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงพานิชย์ (เดิม) ที่ตอนนี้ได้ปรับปรุงอย่างสวยงาม ตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ จากนั้นได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่ว่า ภายในประกอบด้วยอาคารหลัก 3 อาคาร คือ
      
       - อาคารนิทรรศการถาวร หรืออาคารพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ซึ่งเดิมเป็นอาคารสำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์ สร้างในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 มีรูปแบบนีโอคลาสสิค ที่ไว้จัดแสดงนิทรรศการถาวรเรื่อง “เรียงความประเทศไทย”
      
       - อาคารนิทรรศการชั่วคราว และกิจกรรมพิเศษ รวมถึงร้านอาหาร และเครื่องดื่ม จะเป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนซึ่งจะมีการจัดเปลี่ยนหัวข้อการจัด แสดงตามความเหมาะสม
      
       - อาคารสำนักงานพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วยพื้นที่สนับสนุนการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์ อาทิ คลังความรู้ ห้องฉายภาพยนตร์ ห้องสมุดสำหรับเด็ก เป็นต้น
      
       แต่ไฮไลท์ และจุดที่น่าสนใจของที่นี่ เห็นที่จะหนีไม่พ้นเนื้อหาในห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร “เรียงความประเทศไทย” ที่ชวนกระตุกต่อมความคิด และจุดประกายความอยากรู้ จนทำให้ทุกท่านต้องเกิดคำถาม และตั้งคำถามจากสิ่งที่เห็น นอกจากนี้ยังมีความพิเศษไม่เหมือนแหล่งเรียนรู้แห่งอื่น นั่นคือ ทุกห้องจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถจับต้องได้ เล่นได้ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 6 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย (วัตถุ) และใจ (จิต) สร้างการเรียนรู้ที่สนุกบนพื้นฐานความเข้าใจได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่า ระหว่างนิทรรศการกับผู้ชม สามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ทุกขณะช่วงเวลาที่เยี่ยมชม
      
       
** เปิดม่านนิทรรศการมีชีวิต 3 ชั้น 17 ห้อง **      
       อาคารพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้มีทั้งหมด 3 ชั้นประกอบด้วยห้องนิทรรศการ 17 ห้อง เริ่มเดินจากชั้นที่ 1 คุณจะได้พบกับห้องเบิกโรง ที่จะพาย้อนกลับไปสู่เรื่องราวอันเป็นต้นกำเนิดจากสุวรรณภูมิสู่สยามประเทศ จนถึงประเทศไทย เพื่อค้นหาคำตอบว่าเราคือใคร และอะไรคือไทย เข้าสู่ตัวห้องที่ 2 เป็นห้องไทยแท้ ที่จะกระตุ้นความอยากรู้ว่าไทยแท้คืออะไร และเป็นอย่างไรจึงจะเรียกว่าไทยแท้
      
       จากนั้นขึ้นลิฟต์ย้อนเวลากลับไปเริ่มต้นชั้นที่ 3 เพื่อเปิดตำนานสุวรรณภูมิในห้องที่ 3 ห้องที่แสดงถึงวิวัฒนาการของสังคมก่อนจะมาเป็นบรรพบุรุษชาวสุวรรณภูมิ ซึ่งมีใจความสำคัญว่า “สุวรรณภูมิ” คือชื่อที่ชาวโลกเมื่อประมาณ 3,000 ปี ก่อนใช้เรียกดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกของอินเดีย ซึ่งส่วนหนึ่งของพื้นที่แห่งนี้ คุณจะเห็นกรุงเทพฯ ที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ทะเล และได้ศึกษาโครงกระดูก หลุมฝังศพ และอารยธรรมที่ฝังอยู่ใต้ดิน
      
       เดินต่อมา คุณจะได้ทำความรู้จักกับ “สุวรรณภูมิ” ในห้องที่ 4 ดินแดนแห่งความมั่งคั่งผ่านผู้คน การเกษตร การค้า การสร้างเมือง เทคโนโลยีแห่งโลหะ และความเชื่อ เช่น เรื่องผี พราหมณ์ และพุทธ ที่จะทำให้ทุกท่านรู้ว่า สุวรรณภูมิ คือรากเหง้าของประเทศไทยนั่นเอง
      
       เข้าสู่ตัวห้องที่ 5 เป็นห้อง “พุทธิปัญญา” ห้องที่จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหัวใจของพระพุทธศาสนาซึ่งจะมี คาถา เย ธมฺมา หมายถึง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด คาถายอดนิยมแห่งสุวรรณภูมิ มูลเหตุแห่งความใจกว้าง และสันติ (ห้องนี้ขอบอกว่าบรรยากาศสงบมากครับ สามารถนั่งสมาธิ หรือนั่งพักผ่อนคลายกาย-ใจได้ เพราะใจกลางของห้องจะมีเบาะวงกลมไว้สำหรับให้นั่ง)
      
       หลักจากผ่านห้องแห่งความสงบมาแล้ว คุณจะได้พบกับห้องที่ 16 ซึ่งเต็มไปด้วยบรรดาเหล่าทหารนักรบ และเรื่องราวของแคว้นต่างๆ ชื่อว่า “กำเนิดสยามประเทศ” ห้อง ที่ทุกท่านจะได้ร่วมกันสืบสานเรื่องราวของวีรบุรุษผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยา จากตำนานท้าวอู่ทอง และห้องนี้เด็กๆ จะได้เรียนรู้ลักษณะการยิงของปืนใหญ่ พร้อมฝึกยิงกับภาพ 3 มิติอีกด้วย ถัดเข้ามาเป็นห้องที่ 7 เป็นห้องของสยามประเทศ ที่คุณจะได้เห็นสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมของกรุงศรีอยุธยา รวมถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เช่น การเมือง สถาปัตยกรรม และภาษา
      
       เปิดม่านสู่ห้องที่ 8 เป็นห้องสยามกลยุทธ์ เป็นห้องที่คุณจะได้รู้ถึงมูลเหตุแห่งสงครามในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผ่านจากห้องสยามกลยุทธ์ ลงบันไดลงมาที่ชั้น 2 สู่ตัวห้องของแผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษในห้องที่ 9 คุณจะได้รู้ถึงมูลเหตุของเส้นแบ่งพรมแดน ที่ทำให้เกิดการตัดแบ่งชุมชน เชื้อชาติ และญาติพี่น้องออกจากกัน
      
       ออกจากห้องแผนที่ เข้าสู่ตัวห้องที่ 10 คือห้องที่คุณจะเห็นกรุงเทพฯ ภายใต้ฉากของอยุธยา ที่เมื่อครั้งสิ้นกรุงศรีฯ ได้มีการสร้างเมืองขึ้นใหม่บนผืนดิน “บางกอก” ซึ่งได้จำลองแนวคิด และสืบสานวัฒนธรรมมาจากเมืองเก่ามากมาย เมื่อสร้างเสร็จจึงปักฐาน กลายเป็นชาวกรุงเทพฯ ในที่สุด
      
       หลังจากได้เป็นกรุงเทพฯ แล้ว เราลองมาดูชีวิตนอกกรุงในห้องที่ 11 กันดูบ้าง เพราะจะสื่อให้เห็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นของเล่น อุปกรณ์ดักสัตว์ เครื่องมือทำกิน ความเชื่อ หรือพิธีกรรมต่างๆ ทุกสิ่งล้วนผูกพันมาจนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งไทยเราได้มีการติดต่อกับโลกตะวันตกมากขึ้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ ในสังคมสยามประเทศหลายด้าน เริ่มจากการเปลี่ยนการจราจรทางน้ำ เกิดการสร้างถนนหนทาง วิถีชีวิตที่แช่มช้า ได้เปลี่ยนไปเป็นวิถีที่เร่งรีบ นี่คือสิ่งที่คุณจะได้เห็น และสัมผัสร่วมกันในห้องที่ 12 แห่งนี้
      
       เมื่อเดินเข้าสู่ห้องที่ 13 คุณจะได้พบกับห้องกำเนิดสยามประเทศ ที่จะกระตุ้นให้เกิดการค้นหาคำตอบว่า “วันเกิดประเทศไทยคือวันที่เท่าไหร่” เป็นต้น ถัดมาเป็นห้องที่ 14 ถ้าอยากรู้ว่าสีสันตะวันตกเป็นอย่างไร หรูหรา ศิวิไลซ์มากแค่ไหน ห้องนี้มีคำตอบครับ
      
       เดินเข้ามาถึงตัวห้องที่ 15 คุณจะได้เห็นเมืองไทยในวันนี้ จากเสียงของประชาชนหลากหลายเพศ และเชื้อชาติ ว่ามีสิ่งใดบ้างที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น มีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่ยังอยู่กับเรา และมีสิ่งดีๆ ใดบ้างที่หล่นหายไปอย่างน่าเสียดาย จากนั้นก้าวย่างเข้าสู่โลกแห่งอนาคต ที่ห้อง “มองไปข้างหน้า” ในห้องที่ 16เป็นห้องที่ตอกย้ำว่า “วันพรุ่งนี้ประเทศไทยจะเป็นเช่นไร คนรุ่นปัจจุบันเท่านั้นที่จะให้คำตอบได้”      
       ออกจากห้องแห่งอนาคต จุดที่คุณจะพลาดไม่ได้ นั่นก็คือ โมบายคนกบแดงที่แขวนทอดยาวตั้งแต่ชั้นที่ 1 จนถึงชั้น 3 เสมือนเป็นการย้อนเวลา และร่วมเดินทางไปกับโมบายแห่งนี้ สำหรับในส่วนนี้ ทีมงานได้รับความรู้จากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับ “คนกบแดง” ว่า มี ลักษณะเป็นรูปคนทำท่าเป็นกบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งนี้ เพราะกบถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่เคารพของคนทั่วทั้งทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จากลวดลายบนกลองมโหระทึกที่เป็นเครื่องมือใช้ประโคมตีในพิธีกรรมขอฝนของคนสมัยก่อน
      
       จากจุดเริ่มต้นในชั้นที่ 1 ย้อนเวลาไล่เรียงประเทศไทยในชั้นที่ 3 จากทั้งหมด 16 ห้อง จนกระทั่งมาบรรจบที่ชั้น 1 อีกครั้ง กับห้องที่ 17 เพราะเป็นห้องที่คุณจะได้ย้อนตำนานตึกเก่าเล่าที่มาของมิวเซียมสยาม ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก และเยาวชนได้สวมบทบาท “นักโบราณคดีสมัครเล่น” และร่วมกันค้นหาอดีตในพื้นที่แห่งนี้ด้วย
      
       นี่คือส่วนหนึ่งจากทั้งหมดที่คุณได้รับรู้ในเบื้องต้น แต่ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถนำมาเขียนและอธิบายได้หมด นอกเสียจากว่า...จะหาเวลามาสัมผัสกับสถานที่จริง ของจริง และความรู้สึกจริงๆ
      
       ที่ “มิวเซียมสยาม” แห่งนี้ จะกระตุกต่อมความคิด และจุดประกายความอยากรู้ จนเกิดการตั้งคำถามในสิ่งที่เห็นได้จริงหรือไม่ การจัดนิทรรศการแบบมีชีวิตจะเป็นอย่างไร คุณและครอบครัวต้องมาสัมผัสกันเอาเองครับ แล้วจะอ๋อ...เพราะอย่างนี้นี่เอง


“คน กบแดง” ว่า มีลักษณะเป็นรูปคนทำท่าเป็นกบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งนี้ เพราะกบถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และเป็นที่เคารพของคนทั่วทั้งทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้










ถ่ายภาพนี้จากบนชั้นที่สองของอาคารค่ะ




แท็กซี่รุ่นไหนเนี่ย ???


  

บันไดทางขึ้น




 











 



 

ธนบัตร !!


 โห 10 บาท

 

ตู้ไปรษณีย์

 



  




 


บรรยากาศแบบ งานวัด

 



 



 



 

อยากเป้นคนไหน สวมรอยเลย 55


 




 




ของที่ระลึกที่ มิวเซียมสยาม





แผนที่การเดินทางไปที่ มิวเซียม สยาม 























Craedit= http://www.ndmi.or.th/museums/
             

แซ่บ !! อิลี่ ส้มตำฟิวส์ชั่น

เบื่อส้มตำ หรือ อาหารอีสานแบบเดิมๆหรือเปล่า ?? 
ถ้าเบื่อเราขอแนะนำ


 
 ร้านแซ่บอิลี่ !! อี้ .. อี้ .. อี้ .. อี้ ..   
ตรงทองหล่อ Arena 10
 
ตรงที่เป็นอาณาจักรดินแดนของโออิชินั่นแหละค่า
 
ร้าน "แซ่บ อี ลี่"
 
เป็นร้านของคุณกิ๊ฟ ลูกสาว คุณตัน โออิชิ
 
ร่วมหุ้นกับคุณปลา (ไอเบอรี่)
 
และคุณตุ๊กตา อินทิรา  
 
ถ้าใครเคยดูเดี่ยว 8 คงจะพอคุ้นๆหูอยู่บ้าง
 
เพราะคุณพี่โน๊ตแกเล่นโปรโมต
 
ทั้งร้าน แซ่บ อี ลี่ ของลูกสาว ยันร้าน Melt Me ของภรรยา
 
ไม่รู้คุณตัน จ่ายค่าโฆษณาให้เท่าไหร่  
 
555555+ (คุนตันหนูแซวเล่นๆน้า  ><)
 
 
 
นั่งรถเข้ามาใน Arena 10 ตรงผับฟังกี้
 
จะเห็นป้ายสัญลักษณ์ของร้านเลย หาไม่ยากเลย ^^



 
 
ป้ายสัญลักษณ์ร้าน สีสันสดใส เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าร้าน



 บันไดขึ้นไปยังร้าน แซ่บ อี ลี่
  
ร้านจะอยู่ชั้นสอง เดินขึ้นบันไดไป
 
พอขึ้นไปก็กรี๊ดส ตามเคย
 
ร้านตกแต่งน่ารัก ไม่รู้จะถ่ายตรงไหนก่อนอีกแล้ว
 
ก็สไตล์แบบ รกๆ พร้อบเยอะๆ
 
แต่ก็น่ารักอ่ะ ถ่ายรูปมาเยอะมาก
 
 


ผ้าปูโต๊ะ ใช้ผ้าลายเหมือนผ้าถุงเลย เก๋ดี  บรรยากาศร้านด้านนอก ตอนกลางวันยังไม่เปิดให้บริการร้านด้านนอก ก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นได้เรื่อยๆ ไม่มีหัวคนบัง


 
หน้าประตูร้านด้านใน
 

 อยากนั่งกินด้านนอกเหมือนกันนะ ลมดีมากมาย ~.~ 
บรรยากาศ ด้านข้างเป็นสนามฟุตซอล
 
กินส้มตำ กับลมเบาๆ เย็นสบาย
 
เคล้ากับวิวทิวทัศน์ริมสนามฟุตซอล + หนุ่มๆเตะบอล
 
 
สนามฟุตบอลขนาบข้าง




กินส้มตำไป ดูหนุ่มหล่อเตะบอลไป กรี๊ดด (ในใจ) >///<
ขาวบ้างดำบ้างสลับกันไปแล้วแต่เสป็ก 55 

 
และแล้วก็ได้เวลาสั่งอาหาร
 
เพื่อนที่มาด้วย สั่งอย่างแรกเลย โดยไม่ต้องดูเมนู
 
"ตำส้มโอน้ำปู๋" ดูจากแค่ชื่อ + รูปก็รู้ว่า อาหารลาวแท้ๆ 
 
ส่วนเรา ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย
 
โต๊ะที่ได้นั่ง เบาะนุุ่มมาก 
 

 
 
นั่งถ่ายรูปสักพัก อาหารก็มา ~

 

 
เริ่มด้วย "น้ำเก๊กฮวย"
 

 หวานๆ อร่อยๆ คล้ายร้อนดี

 
จานแรก ประเดิมด้วย "เห็ดออรินจิย่างจิ้มแจ่ว"
 

 
ขอบอกว่าอร่อยย มากก  เห็ดออริจินก็อร่อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
 
แต่น้ำจิ้มเผ็ดหน่อย มันต้องให้เข้ากับคอนเซ็บร้านสินะ
 
แซ่บ !!! แต่เผ็ดไปอ่ะ
 
ผักเครื่องเคียง 
 
 
 
 
 
จานหลักของเรา
"ตำส้มโอน้ำปู๋ "
 
 
ชิมไปคำนึง เผ็ดมากกกกกกกกกกกก
 
พอเลย เดี๋ยวกระเพาะจะพัง  แต่อร่อยนะ แซ่บสมชื่อร้านเลย
 

 
 
 
 แล้วก็จานต่อมา "ส้มตำไทย ไข่เค็ม"
 
 
เด็กน้อย ก็กินอะไรเด็กน้อยแบบนี้แหละ
 
ตอนจะสั่ง เห็นราคาแทบหงายเงิบ
 
นี่กรูต้องกินส้มตำจานละเกือบร้อยเหรอเนี่ย
 
พอเห็นขนาดจานที่มาเสริฟ
 
เรียก "ถาด" น่าจะดีก่วา 555555
 
มาเป็นถาดกันเลยทีเดียว ใหญ่มาก
 
แล้วก็อร่อยมากด้วย รสเด็ดมาก เผ็ดกำลังดี พอกินได้ ซี๊ดด
 
 

 
"ต้มแซ่บเนื้อตุ๋น"
 
 
 เมนูนี้ Recommend แบบสุดๆ
 
อร่อยสุดยอด แซบอย่าบอกใคร
 
อยากจะสั่งใส่หม้อ กลับไปฝากพ่อแม่ที่บ้านจิงๆ

 

 
"ข้าวเหนียวดำ"
 
 
ที่ร้านแซ่บ อี ลี่ มีข้าวเหนี่ยวสองแบบ
 
คือข้าวเหนียวขาว แบบทั่วไป กับข้าวเหนี่ยวดำ
 
สั่งไปอย่างละหนึ่ง ได้มาแต่ข้าวเหนียวดำ
 
อร่อยๆๆ ข้าวไม่เหนี่ยวเกินไป ไม่ติดมือ
 
กินได้เรื่อยๆ ชอบๆ
 
รูปข้าวเหนี่ยวดำชัดสุด 55+
 
 
ต่อมาอันนี้ขอลอง

 ตำเมล่อนญี่ปุ่น อร่อยอ่ะ แนะนำเลย รสชาติเข้ากันดีม๊ากกกก

กินไปกินมา  ชักจะอิ่ม

ไม่หมดซักที เยอะอ่ะ
 
หัวเริ่มปักหมอน
 
ไอ้เราเลยรอให้พนักงานทำความสะอาดโต๊ะอื่น
 
พอทำเสร็จ เลยไปแชะภาพมุมอื่นๆต่อ
 
 
 
 
น่ารัก อยากนั่งโต๊ะนี้ ติดริมหน้าต่างด้วย
 
 
 
 
ด้านหน้าครัว พนักงานทำงานกันอย่างขันแข็ง
 
 

 
สีสันหวานแหววมาก (>_<)
 
 
เดินถ่ายรูปทั่วร้าน หันกลับมาอีกที
 
คุณเมท จมหายไปกับโซฟาละ
 
สงสัยอิ่มจัด ไร้เรี่ยวแรง 5555+
 
 
จากนั้นหนึ่งในเจ้าของร้าน ชื่อคุณกิ๊ฟ
 
ก็เดินเอา สละลอยแก้วมาเสริฟ
 
 
ไม่กินสละลอยแก้วอ่ะ ขอผ่านเมนูนี้ละกันะ
 
 
จากนั้นนิกกี้ก็แนะนำตัว และขอแลกนามบัตรกับคุณกิฟท์
 
นามบัตรน่ารักมากๆ
 
 

 
ชอบนามบัตรอ่ะ น่ารัก 
 
 
 ค่าเสียหาย ก็เอาเรื่องอยู่
 
กินส้มตำกันเกือบห้าร้อยบาท 5555
 
แต่รสชาด ดีมากกกกกก
 
นานๆที กินทีได้นะ
 
ถ้าให้กินบ่อยๆ ขอร้านข้างทางละกัน   ;]
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
Creadit=http://nat-chi.exteen.com/20100823/entry-1
            http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=8280043875078693194